ทำเลที่ตั้งเป็นเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ ในการประกอบธุรกิจ หากใครยังคิดไม่ออกลองอ่านบทความนี้่ดูครับ อาจช่วยให้เพิ่มข้อมูลในการตัดสินใจเลือกพื้นที่ได้ง่ายขึ้นการเลือกทำเลที่ตั้งให้เหมาะกับธุรกิจร้านล้างรถหยอดเหรียญนั้นจะช่วยให้เราคืนทุนเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งผมได้รวบรวมหลักการเลือกง่ายๆ ไว้ดังนี้
1. มีรถผ่านหรือมีคนผ่านมากน้อยแค่ไหน ยิ่งเยอะ ยิ่งดี แล้วจะรู้ได้ไงเท่าไหร่คือเยอะ หากจะให้เราไปนับรถหรือคนที่ผ่านไปมาก็คงทำได้ แต่อาจะลำบากไปหน่อย ให้เราใช้หลักการเลือกง่ายๆ โดยดูว่าบริเวณนั้นๆ มีร้านสะดวกซื้อตั้งอยู่หรือไม่ เพราะร้านเหล่านั้นเค้าจะผ่านขั้นตอนต่างๆ ในการเลือกพื้นที่มาแล้ว เราก็เลือกตั้งใกล้ๆ เค้าไปเลย ให้คุณลองดูว่ามีร้านสะดวกซื้ออยู่ใกล้ๆ เรารัศมีสัก 1-3 กม ไหม ยิ่งใกล้ยิ่งดีเลยครับ
2. รู้จักกลุ่มลูกค้าของเรา ว่าเป็นใครอาชีพอะไร นักศึกษา คนทำงาน คนทั่วไป ลองนึกภาพกันดูครับว่า สมมุติว่าลูกค้าเราเป็นนักศึกษา เค้าจะล้างรถเองไหม ถ้าเป็นคนทำงานอาชีพค้าขาย เค้าล้างรถเองไหม อาชีพอะไรบ้างที่ไม่น่าจะล้างรถด้วยตัวเอง ก็อาจจะ อาจารย์ แพทย์ พยาบาล ซึ่งมีเวลาน้อย ถ้าเราตั้งในโซนที่มีบุคคลอาชีพเหล่านี้ก็อาจจะไม่เวริค แล้วอาชีพอะไรหล่ะที่มีเวลาล้างรถด้วยตัวเองก็น่าจะ อาชีพอิสระต่างๆ พ่อค้า แม่ค้า ธุรกิจส่วนตัว คนที่รักรถ คนชอบแต่งรถ นักศึกษา งานโรงงาน ขับรถทั่วไป แล้วเราก็มาวิเคราะห์ดูว่าจะทำเป็นรถยนต์ กี่ช่องมอเตอร์ไซด์กี่ช่องดี
3. ขนาดของพื้นที่ ยิ่งเยออะยิ่งดี ยอมเลือกพื้นที่ที่ไม่ต้องติดถนนใหญ่มาก แต่ได้พื้นที่มากขึ้น แต่ก็จะต้องดูให้เหมาะสมกับงบลงทุนของเราด้วย หรือเช่าพื้นที่ใหญ่ๆไว้ก่อนแล้วสร้างบางส่วนก่อน หากกิจการไปได้ดีก็ค่อยขยายเพิ่มเติม ขนาดร้านที่ใหญ่ ลูกค้า จะเลื่อนรถง่าย ขับรถเข้าช่องล้างง่าย ถึงเราจะอยู่ในซอยลึกเข้ามาหน่อย แต่ได้พื้นที่เพิ่มนั้นจะทำให้เราได้ช่องล้างมากขึ้น ถ้าร้านเราดีจริง (ซึ่งเราก็มั่นใจนะว่าดีแน่ๆ 555) ลูกค้าก็จะบอกต่อและกลับมาอีกอย่างแน่นอนครับ อีกทั้งยุคสมัยนี้เรามีช่องทางสื่อในการโปรโมทร้านมากมาย ทำให้ลูกค้ามาหาเรา รู้จักเราได้อย่างไม่ยากเลยครับ มาครั้งเดียวหากเค้าประทับใจกลับมาอีกแน่นนอนครับ
4. ลอกการบ้านเพื่อน (แอบร้ายมั้ยอ่ะ ก็คงไม่หรอกเนอะ ถือว่าช่วยกันพัฒนาธุรกิจนี้ ให้ผู้ใช้ได้ประโยชน์สูงสุด และอยู่ได้ไปด้วยกันก็แล้วกันเนอะ) คือให้ดูว่ามีธุรกิจแบบนี้ในพื้นที่หรือยัง อันนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียครับ ข้อเสียก็อาจะเป็นการแชร์ลูกค้ากัน แต่ผมว่ามีข้อดีเยอะกว่านะ^^ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ไม่ต้องมีพนักงานบริการ เราจึงไม่ได้แข่งดันด้านบริการหรือความรู้จักคุ้ยเคยกับเจ้าของร้าน
แต่จะแข่งกันที่ หน้าตาของร้านความสวยงามน่าใช้ ,เครื่องใช้งานง่ายไหม มีประสิทธิภาพหรือไม่ ,คุ้มค่าหรือไม่ให้เวลาเหมาะสมหรือป่าว ถ้าเรามาทีหลังแต่มั่นใจว่าทำได้ดีกว่าในข้อที่ผมว่ามา ก็ไปต่อได้ครับ แล้วมีอะไรบ้างที่เราจะต้องทำการบ้านเพิ่มเติม ดังนี้ครับ
1. ลูกค้าเค้าเยอะไหม ถ้าเยอะพอแชร์กันได้ก็จะดีครับ แต่หากลูกค้าไม่เยอะก็ต้องมาดูอีกทีว่าร้านเค้าหน้าเป็นยังไงเครื่องมือพร้อมใช้งานหรือไม่เราก็พอจะรู้ว่าจะทำหรือไม่ครับ
2. ลูกค้าเอารถอะไรมาล้าง ก็จะช่วยให้เราประมาณได้ถูกว่าจะทำช่องล้ารถยนต์เท่าไหร่ มอเตอร์ไซด์เท่าไหร่ ต้องใช้พื้นที่ทั้งหมดเท่าไหร่ครับ
3. ลูกค้านำรถมาล้างเวลาไหนมากที่สุด ส่วนมากก็น่าจะช่วงเย็นๆ งั้นร้านเราก็ควรจะหันหน้าร้านทางไหนให้แสงแดดไม่เข้าตอนช่วงเวลานั้นๆเพราะเราเองก็คงไม่อยากจะไปล้างรถกลางแดดร้อนๆ ใช่หรือไม่ครับ
5. ค่าเช่า เป็นรายจ่ายแบบตายตัว เป็นต้นทุนรายเดือนที่เยอะที่สุดของธุรกิจนี้ ค่าเช่าจะต้องถูกที่สุด หรือ ไม่ควรเกิน 30% ของรายรับแต่หากเป็นเจ้าของที่เองก็ยิ่งดีมากๆ เลยครับ แล้วทำอย่างไรเราถึงจะได้จ่ายค่าเช่า ไม่เกิน 30% ของรายรับ ( วิธีการประเมินรายรับเดี๋ยวผมจะมาพูดถึงในบทความหน้านะครับ ) หรือน้อยที่สุด ลองดูวิธีการนี้ครับ หากต่อรองดีๆ จัดสรรที่ได้เหมาะสม เราอาจไม่ต้องจ่ายค่าเช่าเลยก็เป็นได้ 555
1. ลองสอบถามค่าเช่ารายเดือน ต่อขอลดค่าเช่าโดยต่อรองชำระเป็นรายปี เพราะไหนๆ เราก็ต้องเช่ามากกว่า 1ปีอยู่แล้ว เราก็กัดฟัน ชำระค่าเช่าเป็นก้อน เพื่อได้ค่าเช่าที่ถูกขึ้นเช่น เจ้าของให้เช่าที่ ราคา 10,000 ต่อเดือน เราลองขอต่อเค้าสักเดือนละ 9,000 บาท หากเค้าลดให้ก็จะดีมากๆ เลยครับ จากนั้นให้เราต่อลงมาอีก โดยเว้นระยะเวลานิดนึงนะครับ อาจจะ 1 วันก็ได้ เราก็ขอต่อลงอีกนิดหน่อยเหลือ 7,000 บาท แต่จะชำระให้เป็นเงินก้อนรายปีครับ เจ้าของกิจการให้เช่าส่วนใหญ่ชอบเงินก้อน และปัญหาที่เค้าไม่อยากเจอคือการทวงค่าเช่า เค้าจะให้น้ำหนักกับค่าเช่ารายปีมากกว่าแน่นอนครับผมก็เคยต่อรองลักษณะนี้และสำเร็จมาแล้ว 555 (เจ้าของกิจการให้เช่าไม่ถูกใจสิ่งนี้ 555 ล้อเล่นนะครับคงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก) ก็ถือว่าได้ทั้ง 2 ฝ่ายนะครับเราได้ค่าเช่าที่ถูกลง เจ้าของที่ได้เงินก้อนตัดปัญหาการทวงค่าเช่าอีกวินวิน ครับ
2. ขอยกเว้นค่าเช่าในขณะที่กำลังก่อสร้างร้าน ส่วนใหญ่เจ้าของที่เค้าใจดีให้อยู่แล้วครับ 1 เดือน หรือร้านใหญ่หน่อยก็ขอเป็น 2 เดือนครับ ลองขอดูก่อนหากเค้าไม่ให้ลองขอเป็น เดือนที่ 2 ของการก่อสร้าง จ่ายครึ่งหนึ่งได้ไหม ( บวกกับทำหน้าตาน่าสงสารครับ 5555 ) อันนี้ผมก็เคยทำสำเร็จมาแล้วครับ
3. หากเป็นพื้นที่เปล่าต้องเทพื้นคอนกรีต ลองขอให้เจ้าของที่ช่วยออกค่าเทพื้นคอนกรีต 50% หรือ 40% ลดลงมาเรื่อยๆ ดูครับ เพราะเป็นพื้นที่ของเค้าเอง เค้าคงอยาให้ออกมาดีใช้ได้ไปนานๆ ครับ ข้อนี้ลูกค้าผมบอกต่อมาครับ ทำสำเร็จมาแล้วสาขาใหญ่มากครับ แต่ไม่บอกนะครับว่าสาขาไหน ลองทายกันดูเองครับ 555
4. แบ่งพื้นที่ให้เช่า หากเราได้พื้นที่มาเยอะ เราจัดพื้นที่ดีๆ ให้มีคนมาเช่าได้นะครับ เลือกธุกิจที่สนับสนุกัน เช่น ร้านอาหาร ร้านขายขอชำ แบ่งไปแบ่งมาเราอาจไม่ต้อง จ่ายค่าเช่าเลยก็เป็นได้ครับ แต่ต้องดูเรื่องสัญญาเช่าเราให้ดีว่าสามรถให้เช่าช่วงได้หรือไม่ จัดสรรพื้นที่ให้ดี ระบบไฟ ระบบน้ำ ระบบน้ำทิ้ง จะต้องมีให้ผู้เช่าหรือไม่ครับ
5. สัญญาเช่า ยิ่งได้นานยิ่งดีนะครับ เพราะเราเป็นธุรกิจที่ต้องลงโครงสร้างมั่นคงระดับนึงการจะย้ายร้าน ทำได้ยากครับ และคงไม่คุ้มแน่ๆ หากทำสัญญาเช่า ปีต่อปี แล้วต้องย้ายออก หากได้สัญญาปีต่อปี แนะนำหาที่ใหม่จะดีกว่าครับ
ก็ประมาณนี้นะครับสำหรับวิธีการเลือกที่ตั้งร้าน แต่หากใครเป็นเจ้าของที่อยู่แล้ว ยิ่งดีเลยครับ จัดสรรพื้นที่อื่นๆ ไว้ให้กิจการอื่นมาเช่าด้วย เป็นการสนับสนุนกันหากมีคำถามข้อสงสัย หรือแยากแนะนำเพิ่มเติม คอมเม้นเข้ามาได้เลยนะครับ เพื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจจะประกอบธุกิจนี้ ขอบคุณครับ